Customer Reviews

หนังสือเล่มนี้เล่มใหญ่มาก ทำให้ดูเหมือนว่าจะอ่านยาก และสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยจะชอบอ่านหนังสือนั้นคงไม่กล้าที่จะซื้อมันมาอ่านเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าซื้อแล้วอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะคนเขียนนั้นเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ของนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกคือวอเร็นบัฟเฟต และวอเร็นก็ได้ศึกษาวิธีการลงทุนมาจากเกรแฮม(ผู้เขียน)นั่นเอง โดยภายในเล่มจะสอนเราถึงหลักการลงทุนแบบปลอดภัยสุดๆ โดยมีหลักการมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ ที่จะไม่เข้าซื้อหุ้นอย่างเด็ดขาดถ้าไม่มีส่วนต่างความปลอดภัยมากกว่า 30% ซึ่งก็เป็นหลักการที่ดูดีแต่ทำยาก เพราะต้องรอให้หุ้นราคาตกเยอะพอสมควร แต่ถ้าสามารถทำได้ก็จะทำให้ไม่ต้องขาดทุนเยอะ (เพราะหุ้นลงมาเยอะแล้ว) แต่อย่างไรก็ตามเราก็ควรที่จะดูคุณภาพของหุ้นที่เราจะซื้อด้วย เพราะอาจจะเข้าซื้อหุ้นที่ตกลงมาเพราะมันห่วยจริงๆก็ได้

หนังสือที่ควรมีใว้สำหรับนักลงทุนมือใหม่และมือเก่าและควรเป็นหนึ่งในหนังสือหุ้นที่คุณอ่านเป็นเล่มแรกๆด้วยซ้ำ มีเป็นคอลเล็กชั่นคู่กับหนังสือเล่มอื่นๆของปีเตอร์ลิ้นช์ก็ไม่เสียหายแต่อย่างใดครับ

หนังสือเล่มนี้เล่มใหญ่มาก ทำให้ดูเหมือนว่าจะอ่านยาก และสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยจะชอบอ่านหนังสือนั้นคงไม่กล้าที่จะซื้อมันมาอ่านเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าซื้อแล้วอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะคนเขียนนั้นเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ของนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกคือวอเร็นบัฟเฟต และวอเร็นก็ได้ศึกษาวิธีการลงทุนมาจากเกรแฮม(ผู้เขียน)นั่นเอง โดยภายในเล่มจะสอนเราถึงหลักการลงทุนแบบปลอดภัยสุดๆ โดยมีหลักการมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ ที่จะไม่เข้าซื้อหุ้นอย่างเด็ดขาดถ้าไม่มีส่วนต่างความปลอดภัยมากกว่า 30% ซึ่งก็เป็นหลักการที่ดูดีแต่ทำยาก เพราะต้องรอให้หุ้นราคาตกเยอะพอสมควร แต่ถ้าสามารถทำได้ก็จะทำให้ไม่ต้องขาดทุนเยอะ (เพราะหุ้นลงมาเยอะแล้ว) แต่อย่างไรก็ตามเราก็ควรที่จะดูคุณภาพของหุ้นที่เราจะซื้อด้วย เพราะอาจจะเข้าซื้อหุ้นที่ตกลงมาเพราะมันห่วยจริงๆก็ได้

หนังสือที่ควรมีใว้สำหรับนักลงทุนมือใหม่และมือเก่าและควรเป็นหนึ่งในหนังสือหุ้นที่คุณอ่านเป็นเล่มแรกๆด้วยซ้ำ มีเป็นคอลเล็กชั่นคู่กับหนังสือเล่มอื่นๆของปีเตอร์ลิ้นช์ก็ไม่เสียหายแต่อย่างใดครับ

หนังสือธุรกิจแปลกๆแบบนี้แหละที่เตะตาคนอย่างผมยิ่งนัก ขายขยะแล้วจะรวยได้อย่างไร สกปรกจะตาย... แต่... ตรงกันข้ามครับ!! ขายขยะที่สุดแสนจะเหม็นและไม่มีใครต้องการมันเนี่ยแหละคือสุดยอดของธุรกิจ เนื้อเรื่องของผู้เขียนจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามได้ในเล่มเลย รับรองว่าเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน ใครจะไปอยากทำธุรกิจแบบนี้กันหุหุ แต่จริงๆแล้วกำไรเยอะมาก เพราะที่ไม่มีใครอยากทำธุรกิจแบบนี้แหละทำให้คู่แข่งน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ

หนังสือธุรกิจแปลกๆแบบนี้แหละที่เตะตาคนอย่างผมยิ่งนัก ขายขยะแล้วจะรวยได้อย่างไร สกปรกจะตาย... แต่... ตรงกันข้ามครับ!! ขายขยะที่สุดแสนจะเหม็นและไม่มีใครต้องการมันเนี่ยแหละคือสุดยอดของธุรกิจ เนื้อเรื่องของผู้เขียนจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามได้ในเล่มเลย รับรองว่าเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน ใครจะไปอยากทำธุรกิจแบบนี้กันหุหุ แต่จริงๆแล้วกำไรเยอะมาก เพราะที่ไม่มีใครอยากทำธุรกิจแบบนี้แหละทำให้คู่แข่งน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ

Investing against the tide เป็นหนังสือที่แปลได้ดีมาก คือผมอ่านแล้วจะค่อนข้างลื่นไหลไม่ชวนให้หงุดหงิดเหมือนหนังสือแปลบางเล่ม

Investing against the tide เป็นหนังสือที่แปลได้ดีมาก คือผมอ่านแล้วจะค่อนข้างลื่นไหลไม่ชวนให้หงุดหงิดเหมือนหนังสือแปลบางเล่ม

หน้าปกสีชมพูเข้ากับหน้าปู่แกดีนะ ข้างในเล่มก็จริงๆแล้วไม่ได้เน้นแต่การลงทุนสำหรับผู้หญิงหรอก โดยผู้ชายก็อ่านได้

หน้าปกสีชมพูเข้ากับหน้าปู่แกดีนะ ข้างในเล่มก็จริงๆแล้วไม่ได้เน้นแต่การลงทุนสำหรับผู้หญิงหรอก โดยผู้ชายก็อ่านได้

หนังสือเล่มนี้จะชำแหละหุ้น 17 ตัวในพอร์ตหุ้นของวอเรน คือ 1. American Express Company 2. BNY Mellon 3. Coca-Cola 4. ConocoPhillips 5. Costco 6. GlaxoSmithKline 7. Jonhson&Johnson 8. Kraft Foods 9. Moody' s 10. P&G 11. Sanofi 12. Torchmark Corp. 13. Union Pacific 14. US Bancorp 15. Walmart 16. Washington Post 17. Wells Fargo เนื้อหาในช่วงแรกจะเป็นการอธิบายหลักการ ในการเลือกหุ้นมาเข้าพอร์ตของวอเรน เช่น เลือกหุ้นที่มีคุณภาพดีราคาไม่แพง แทนที่จะเลือกหุ้นที่ถูกแต่คุณภาพแย่ เลือกหุ้นที่สามารถทำนายอนาคตว่าใน 10-15 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เลือกหุ้นที่มีรายได้ และกำไรสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลายาวนาน ข้อมูลที่ท่านจะได้จากทั้ง 17 ธุรกิจคือ EPS ย้อนหลัง 10 ปี และข้อมูลที่ลึกพอสมควรว่าทำไมบริษัทดังกล่าวถึงมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ต้องบอกใว้ก่อนว่าบริษัทพวกนี้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก และอาจจะไม่เหมาะสมกับพอร์ตเล็กๆ ของนักลงทุนรายย่อย เพราะฉะนั้น เราควรนำพวกมันมาเป็นกรณีศึกษาได้อย่างดี แต่ไม่ควรลอกวิธีการเลือกหุ้นมาทั้งหมด และควรที่จะปรับหลักการขอวอเรนมาใช้กับ ขนาดและความถนัดในอุตสาหกรรมต่างๆของเรา ที่อาจจะไม่เหมือนกับความถนัดของวอเรนมากกว่าครับ

หนังสือเล่มนี้จะชำแหละหุ้น 17 ตัวในพอร์ตหุ้นของวอเรน คือ 1. American Express Company 2. BNY Mellon 3. Coca-Cola 4. ConocoPhillips 5. Costco 6. GlaxoSmithKline 7. Jonhson&Johnson 8. Kraft Foods 9. Moody' s 10. P&G 11. Sanofi 12. Torchmark Corp. 13. Union Pacific 14. US Bancorp 15. Walmart 16. Washington Post 17. Wells Fargo เนื้อหาในช่วงแรกจะเป็นการอธิบายหลักการ ในการเลือกหุ้นมาเข้าพอร์ตของวอเรน เช่น เลือกหุ้นที่มีคุณภาพดีราคาไม่แพง แทนที่จะเลือกหุ้นที่ถูกแต่คุณภาพแย่ เลือกหุ้นที่สามารถทำนายอนาคตว่าใน 10-15 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เลือกหุ้นที่มีรายได้ และกำไรสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลายาวนาน ข้อมูลที่ท่านจะได้จากทั้ง 17 ธุรกิจคือ EPS ย้อนหลัง 10 ปี และข้อมูลที่ลึกพอสมควรว่าทำไมบริษัทดังกล่าวถึงมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ต้องบอกใว้ก่อนว่าบริษัทพวกนี้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก และอาจจะไม่เหมาะสมกับพอร์ตเล็กๆ ของนักลงทุนรายย่อย เพราะฉะนั้น เราควรนำพวกมันมาเป็นกรณีศึกษาได้อย่างดี แต่ไม่ควรลอกวิธีการเลือกหุ้นมาทั้งหมด และควรที่จะปรับหลักการขอวอเรนมาใช้กับ ขนาดและความถนัดในอุตสาหกรรมต่างๆของเรา ที่อาจจะไม่เหมือนกับความถนัดของวอเรนมากกว่าครับ

ในบรรดาหนังสือสอนเล่นหุ้นทั้งหมดที่ผมเคยอ่านมา ผมว่าเล่มนี้เจ๋งที่สุดเพราะนอกจากคนเขียนจะได้แสดงตัวเองว่าเป็นหนึ่งในเศรษฐีพันล้านด้วยตัวเองแล้ว เขายังเขียนหนังสือการเล่นหุ้นแนวลงทุนระยะยาวมาก่อนคนอื่นเป็นหลายสิบปีก่อนที่การลงทุนแนวนี้จะดังซะด้วย ทำให้แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ของเขาในวิถีทางการลงทุนของตัวเอง โดยแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีหุ้นตัวที่เก่าๆแล้วหลายตัวผู้เขียนก็ขายทิ้งไปนานแล้วแต่เนื้อหากลับยังนำมาใช้กับการลงทุนในยุคปัจจุบันได้ไม่เสื่อมคลาย สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มศึกษาวิธีการลงทุนและหลักการของการลงทุนแบบหุ้นคุณค่าหรือที่เรียกกันว่า VI นั้น การเริ่มต้นที่หนังสือเล่มนี้ถือก็ถือว่าเป็นวิธีเริ่มต้นที่ดีที่สุดเพราะหนังสือเล่มนี้จะมีการเขียนที่ทำให้เราได้ซึมซับหลักการของผู้เขียนได้ดีที่สุดในบรรดาบทความต่างๆหรือหนังสือเล่มอื่นๆของเขาทั้งหมดที่เคยเขียนมา และยังได้ทราบอีกว่าเหล่านักลงทุนแนวนี้หลายต่อหลายคนที่ได้ประสบความสำเร็จมีพอร์ตลงทุนหลัก หลาย 10 ล้าน หรือแม้แต่หลาย 100 ล้านล้วนแล้วแต่ได้เริ่มอ่านจากหนังสือเล่มนี้ก่อนทั้งนั้นถึงได้เข้าสู่หนทางไปสู่ความมั่งคั่งของพวกเขาในเวลาต่อมา ซึ่งก็น่าตกใจเพราะจริงๆแล้วยังมีหนังสือแนวนี้เล่มอื่นที่ดีๆอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือแปลของต่างประเทศที่มีนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมอย่างปีเตอร์ลิ้นช์ซึ่งหนังสือก็ดีมากๆ แต่คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนส่วนใหญ่กลับถูกดึงเข้าสู่หนทางการลงทุนแนวนี้และประสบความสำเร็จด้วยหนังสือเล่มนี้ ก็ต้องบอกว่าไม่แน่อาจจะมี ความสุดยอดบางอย่างเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ที่คนอ่านเมื่ออ่านแล้วก็จะทำให้ถูกเปลี่ยนไปด้วยพลังอะไรซักอย่างก็ได้

ในบรรดาหนังสือสอนเล่นหุ้นทั้งหมดที่ผมเคยอ่านมา ผมว่าเล่มนี้เจ๋งที่สุดเพราะนอกจากคนเขียนจะได้แสดงตัวเองว่าเป็นหนึ่งในเศรษฐีพันล้านด้วยตัวเองแล้ว เขายังเขียนหนังสือการเล่นหุ้นแนวลงทุนระยะยาวมาก่อนคนอื่นเป็นหลายสิบปีก่อนที่การลงทุนแนวนี้จะดังซะด้วย ทำให้แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ของเขาในวิถีทางการลงทุนของตัวเอง โดยแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีหุ้นตัวที่เก่าๆแล้วหลายตัวผู้เขียนก็ขายทิ้งไปนานแล้วแต่เนื้อหากลับยังนำมาใช้กับการลงทุนในยุคปัจจุบันได้ไม่เสื่อมคลาย สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มศึกษาวิธีการลงทุนและหลักการของการลงทุนแบบหุ้นคุณค่าหรือที่เรียกกันว่า VI นั้น การเริ่มต้นที่หนังสือเล่มนี้ถือก็ถือว่าเป็นวิธีเริ่มต้นที่ดีที่สุดเพราะหนังสือเล่มนี้จะมีการเขียนที่ทำให้เราได้ซึมซับหลักการของผู้เขียนได้ดีที่สุดในบรรดาบทความต่างๆหรือหนังสือเล่มอื่นๆของเขาทั้งหมดที่เคยเขียนมา และยังได้ทราบอีกว่าเหล่านักลงทุนแนวนี้หลายต่อหลายคนที่ได้ประสบความสำเร็จมีพอร์ตลงทุนหลัก หลาย 10 ล้าน หรือแม้แต่หลาย 100 ล้านล้วนแล้วแต่ได้เริ่มอ่านจากหนังสือเล่มนี้ก่อนทั้งนั้นถึงได้เข้าสู่หนทางไปสู่ความมั่งคั่งของพวกเขาในเวลาต่อมา ซึ่งก็น่าตกใจเพราะจริงๆแล้วยังมีหนังสือแนวนี้เล่มอื่นที่ดีๆอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือแปลของต่างประเทศที่มีนักลงทุนที่ยอดเยี่ยมอย่างปีเตอร์ลิ้นช์ซึ่งหนังสือก็ดีมากๆ แต่คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนส่วนใหญ่กลับถูกดึงเข้าสู่หนทางการลงทุนแนวนี้และประสบความสำเร็จด้วยหนังสือเล่มนี้ ก็ต้องบอกว่าไม่แน่อาจจะมี ความสุดยอดบางอย่างเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ที่คนอ่านเมื่ออ่านแล้วก็จะทำให้ถูกเปลี่ยนไปด้วยพลังอะไรซักอย่างก็ได้

เป็นหนังสือสือที่จะบอกความรู้สึกของผู้เขียนว่าเขามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับการทำงาน เรื่องการเงิน เรื่องอิสรภาพ เรื่องความต้องการในชีวิตของเขา และการตัดสินใจที่จะไม่ทำงานประจำ โดยที่จะต้องหาวิธีที่จะมีรายได้ให้พอเลี้ยงตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งเงินเดือน เป็นหนังสือที่เขียนโดยมาจากชีวิตของจริงของผู้เขียน ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าคนทำงานสมัยนี้อาจจะมีความคิดแบบนี้ได้ และล้วนมีความต้องการที่จะมีอิสรภาพ ไม่ต้องมีบอสมาคอยสั่งการ และสามารถทำอะไรก็ได้ที่ตนต้องการ

เป็นหนังสือสือที่จะบอกความรู้สึกของผู้เขียนว่าเขามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับการทำงาน เรื่องการเงิน เรื่องอิสรภาพ เรื่องความต้องการในชีวิตของเขา และการตัดสินใจที่จะไม่ทำงานประจำ โดยที่จะต้องหาวิธีที่จะมีรายได้ให้พอเลี้ยงตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งเงินเดือน เป็นหนังสือที่เขียนโดยมาจากชีวิตของจริงของผู้เขียน ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าคนทำงานสมัยนี้อาจจะมีความคิดแบบนี้ได้ และล้วนมีความต้องการที่จะมีอิสรภาพ ไม่ต้องมีบอสมาคอยสั่งการ และสามารถทำอะไรก็ได้ที่ตนต้องการ

เปิดอ่านผ่านๆ ดูกะหลั่วๆชอบกล แถมยังเป็นหนังสือแนวไดอะล็อก หรือแบบคนสองคนคุยกันที่น่าจะอ่านยาก แต่กลับมีข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีในหนังสือ how to ทั่วไป เช่นเรื่องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นโดยไม่ต้องใช้เงินแต่ใช้สินทรัพย์ไม่มีตัวตนแทนได้ การใช้แผนธุรกิจหรือการทำ cash flow มาแลกหุ้นได้ หรือการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในชื่อของตัวเองเพื่อจะสามารถสร้างมูลค่าให้เครื่องหมายการค้าได้ และการที่ถ้าหุ้นกันสองคนห้ามถือคนละ 50% เท่ากัน แต่ให้คนนึงถือ 50.1% หรือเท่าไหร่ก็ได้แต่ต้องมีคนถือมากกว่าอีกคนนึง เผื่อถ้าเกิดมีการขัดแย้งกันขึ้นจะได้มีผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจได้ เรื่องพวกนี้บางทีก็ไม่มีในหนังสือทั่วไปแต่กลับมาเจอในหนังสือเล่มนี้ก็น่าแปลกใจดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครมัวแต่อ่านพวกหนังสือในกระแสก็ควรต้องลองหันมามองหนังสือแบบแปลกๆอย่างเล่มนี้ดูบ้าง

เปิดอ่านผ่านๆ ดูกะหลั่วๆชอบกล แถมยังเป็นหนังสือแนวไดอะล็อก หรือแบบคนสองคนคุยกันที่น่าจะอ่านยาก แต่กลับมีข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีในหนังสือ how to ทั่วไป เช่นเรื่องการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นโดยไม่ต้องใช้เงินแต่ใช้สินทรัพย์ไม่มีตัวตนแทนได้ การใช้แผนธุรกิจหรือการทำ cash flow มาแลกหุ้นได้ หรือการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในชื่อของตัวเองเพื่อจะสามารถสร้างมูลค่าให้เครื่องหมายการค้าได้ และการที่ถ้าหุ้นกันสองคนห้ามถือคนละ 50% เท่ากัน แต่ให้คนนึงถือ 50.1% หรือเท่าไหร่ก็ได้แต่ต้องมีคนถือมากกว่าอีกคนนึง เผื่อถ้าเกิดมีการขัดแย้งกันขึ้นจะได้มีผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจได้ เรื่องพวกนี้บางทีก็ไม่มีในหนังสือทั่วไปแต่กลับมาเจอในหนังสือเล่มนี้ก็น่าแปลกใจดีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครมัวแต่อ่านพวกหนังสือในกระแสก็ควรต้องลองหันมามองหนังสือแบบแปลกๆอย่างเล่มนี้ดูบ้าง

หนังสืออีกเล่มของปีเตอร์ลินช์ แนววิธีการเขียนจะเป็นแบบยาวๆ และไม่ได้แบ่งแต่ละบทออกเป็นสัดส่วนแบบ one up แต่ก็ถือว่าเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาที่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างก็ไม่เหมือนกัน และอารมณ์การอ่านที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน เล่มนี้นั้น ออกจะเป็นแบบว่าเขียนออกมาจากประสบการณ์ซะมากกว่าที่จะเป็นแบบให้หลักการแบบ one up และตัวอย่างหุ้นก็ให้ค่อนข้างหลากหลาย และไม่ได้มีการกรุ๊ปเอาใว้เป็น 6 ประเภทแบบอีกเล่มนึง แต่เรื่องคุณค่าทางด้านความรู้แล้ว ก็ไม่ได้ด้อยกว่า one up on wall street แต่อย่างใด

หนังสืออีกเล่มของปีเตอร์ลินช์ แนววิธีการเขียนจะเป็นแบบยาวๆ และไม่ได้แบ่งแต่ละบทออกเป็นสัดส่วนแบบ one up แต่ก็ถือว่าเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาที่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างก็ไม่เหมือนกัน และอารมณ์การอ่านที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน เล่มนี้นั้น ออกจะเป็นแบบว่าเขียนออกมาจากประสบการณ์ซะมากกว่าที่จะเป็นแบบให้หลักการแบบ one up และตัวอย่างหุ้นก็ให้ค่อนข้างหลากหลาย และไม่ได้มีการกรุ๊ปเอาใว้เป็น 6 ประเภทแบบอีกเล่มนึง แต่เรื่องคุณค่าทางด้านความรู้แล้ว ก็ไม่ได้ด้อยกว่า one up on wall street แต่อย่างใด

ปรกติแล้วผมเป็นคนไม่ชอบซื้อหนังสือแนวนี้ แต่เล่มนี้ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าผมสนใจน้องเค้ามาตั้งนานแล้ว ว่าเขาสร้างเนื้อสร้างตัวจาก 0 จริงหรือไม่ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่รวยอยู่แล้ว ถ้ามาทำธุรกิจก็ไม่น่าจะยาก แต่เท่าที่อ่านดูแล้ว ผมคิดว่าน้องเค้าเริ่มจาก 0 จริงๆ (ติดลบด้วยซ้ำ) ขอชื่อชมน้องต๊อบมากๆที่สามารถประสบความสำเร็จจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และสามารถทำให้เป็นตัวอย่างที่ดีกับวัยรุ่นไทยทั้งประเทศ รวมทั้งยังได้เป็นตัวเอกในหนังเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งประเทศเป็นอย่างมาก ต้องขอบคุณจริงๆครับ

ปรกติแล้วผมเป็นคนไม่ชอบซื้อหนังสือแนวนี้ แต่เล่มนี้ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะว่าผมสนใจน้องเค้ามาตั้งนานแล้ว ว่าเขาสร้างเนื้อสร้างตัวจาก 0 จริงหรือไม่ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่รวยอยู่แล้ว ถ้ามาทำธุรกิจก็ไม่น่าจะยาก แต่เท่าที่อ่านดูแล้ว ผมคิดว่าน้องเค้าเริ่มจาก 0 จริงๆ (ติดลบด้วยซ้ำ) ขอชื่อชมน้องต๊อบมากๆที่สามารถประสบความสำเร็จจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และสามารถทำให้เป็นตัวอย่างที่ดีกับวัยรุ่นไทยทั้งประเทศ รวมทั้งยังได้เป็นตัวเอกในหนังเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งประเทศเป็นอย่างมาก ต้องขอบคุณจริงๆครับ

ผมคิดว่าผู้เขียนท่านนี้ชอบเล่นคำมากไปหน่อยเหมือนกับกำลังคุยแชทกับผู้อ่าน นอกนั้นก็ถือว่าอ่านสนุกดี แต่อาจจะมีเนื้อหาที่ไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์ในการลงทุนซักเท่าไหร่ (ในความคิดของผม) หนังสือเล่มนี้เป็นภาคแรกของซีรี่ส์ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน ซึ่งจะมี ภาค 2 และ 3 ด้วย รวมถึงผู้เขียนยังได้เขียนหนังสือเล่มอื่นๆอีกมากมาย โดยสไตล์การเขียนนั้นจะคล้ายๆกันหมด คือจะเน้นการอ่านที่สนุกได้อารมณ์โดยไม่เน้นหลักการ แต่จะเป็นการเล่าประสบการณ์ปนมุขตลกที่ได้รับจากตลาดหุ้นที่เขาได้เคยลงทุนมา

ผมคิดว่าผู้เขียนท่านนี้ชอบเล่นคำมากไปหน่อยเหมือนกับกำลังคุยแชทกับผู้อ่าน นอกนั้นก็ถือว่าอ่านสนุกดี แต่อาจจะมีเนื้อหาที่ไม่ค่อยจะเป็นประโยชน์ในการลงทุนซักเท่าไหร่ (ในความคิดของผม) หนังสือเล่มนี้เป็นภาคแรกของซีรี่ส์ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน ซึ่งจะมี ภาค 2 และ 3 ด้วย รวมถึงผู้เขียนยังได้เขียนหนังสือเล่มอื่นๆอีกมากมาย โดยสไตล์การเขียนนั้นจะคล้ายๆกันหมด คือจะเน้นการอ่านที่สนุกได้อารมณ์โดยไม่เน้นหลักการ แต่จะเป็นการเล่าประสบการณ์ปนมุขตลกที่ได้รับจากตลาดหุ้นที่เขาได้เคยลงทุนมา

ละเอียดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เห็นเล่มเล็กๆแบบนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูล ถ้าจะเรียนรู้เรื่องบัญชีซื้อเล่มนี้เล่มเดียวพอเลย คุ้มสุดๆ

ละเอียดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เห็นเล่มเล็กๆแบบนี้อัดแน่นไปด้วยข้อมูล ถ้าจะเรียนรู้เรื่องบัญชีซื้อเล่มนี้เล่มเดียวพอเลย คุ้มสุดๆ

หนังสือของผู้เขียนท่านนี้มีหลายเล่มมากๆจนผมไม่รู้ว่าจะซื้อเล่มไหนก่อนดี สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อเล่มนี้มาอ่านก่อนแล้วถ้าดีก็ว่าจะค่อยๆทยอยซื้อเล่มอื่นๆที่น่าสนใจทีหลัง พออ่านๆไปก็พบว่าเขาเขียนได้ดีมากๆ และการแบ่งอาชีพออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆ ก็ไม่เคยมีใครทำมาก่อน (ทำแบบชัดเจนเท่าผู้เขียน) การแบ่งให้ชัดเช่นนี้จะทำให้เราสามารถแบ่งคนออกได้เป็น 4 ประเภทและทุกคนต้องอยู่ในช่องไหนสักช่อง โดยรวมแล้วเขาจะแนะนำให้เราเป็นเจ้าของธุรกิจและนักลงทุนเพราะจะสามารถมีรายได้เยอะมากๆ โดยที่ไม่ต้องใช้เวลามากเหมือนกับพนักงานหรือพวกอาชีพเฉพาะทาง เช่นหมอ เพราะถึงแม้อาจจะมีรายได้เยอะ แต่จะมีเวลาน้อย และไม่มีเงินลงทุนที่จะให้ดอกผลเป็นประจำ ผู้เขียนยังได้อธิบายอีกว่า เราควรสร้างทรัพย์สินที่สร้างรายได้ ไม่สร้างทรัพย์สินที่สร้างแต่รายจ่าย เพราะทรัพย์สินที่สร้างรายได้จะทำให้เราสามารถมีรายได้ประจำซึ่งมันจะทำให้เราสบายตอนทีเกษียนซึ่งเราคงไม่สามารถทำงานประจำไปได้จนแก่แน่นอน

หนังสือของผู้เขียนท่านนี้มีหลายเล่มมากๆจนผมไม่รู้ว่าจะซื้อเล่มไหนก่อนดี สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อเล่มนี้มาอ่านก่อนแล้วถ้าดีก็ว่าจะค่อยๆทยอยซื้อเล่มอื่นๆที่น่าสนใจทีหลัง พออ่านๆไปก็พบว่าเขาเขียนได้ดีมากๆ และการแบ่งอาชีพออกเป็น 4 ด้านใหญ่ๆ ก็ไม่เคยมีใครทำมาก่อน (ทำแบบชัดเจนเท่าผู้เขียน) การแบ่งให้ชัดเช่นนี้จะทำให้เราสามารถแบ่งคนออกได้เป็น 4 ประเภทและทุกคนต้องอยู่ในช่องไหนสักช่อง โดยรวมแล้วเขาจะแนะนำให้เราเป็นเจ้าของธุรกิจและนักลงทุนเพราะจะสามารถมีรายได้เยอะมากๆ โดยที่ไม่ต้องใช้เวลามากเหมือนกับพนักงานหรือพวกอาชีพเฉพาะทาง เช่นหมอ เพราะถึงแม้อาจจะมีรายได้เยอะ แต่จะมีเวลาน้อย และไม่มีเงินลงทุนที่จะให้ดอกผลเป็นประจำ ผู้เขียนยังได้อธิบายอีกว่า เราควรสร้างทรัพย์สินที่สร้างรายได้ ไม่สร้างทรัพย์สินที่สร้างแต่รายจ่าย เพราะทรัพย์สินที่สร้างรายได้จะทำให้เราสามารถมีรายได้ประจำซึ่งมันจะทำให้เราสบายตอนทีเกษียนซึ่งเราคงไม่สามารถทำงานประจำไปได้จนแก่แน่นอน

เป็นอีก 1 เล่มที่เน้นหลักการของแวลู่อินเวสเตอร์ ถามว่าหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากเล่มอื่นตรงไหน ก็ต้องบอกว่าโดยหลักการแล้วคือการลงทุนระยะยาวในทรัพย์สินที่จะมีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว โดยที่เราต้องซื้อในราคาที่ถูกจนแทบไม่มีดาวน์ไซด์ ซึ่งถ้าท่านเป็นนักลงทุนอยู่แล้วก็อาจจะเข้าใจได้ไวและ สามารถเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือเล่มนี้ได้มากขึ้น สิ่งที่ดีของดันโดอินเวสเตอร์ก็คือจะมีตัวอย่างที่น่าสนใจให้ท่านได้อ่านและศึกษาจากหลายประเทศเช่น อินเดีย อเมริกา ตัวอย่างของครอบครัวที่สร้างความมั่งคั่งในเจเนเรชั่นเดียว เช่น มิตตาลกรุ๊ป ที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจเหล็ก

เป็นอีก 1 เล่มที่เน้นหลักการของแวลู่อินเวสเตอร์ ถามว่าหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากเล่มอื่นตรงไหน ก็ต้องบอกว่าโดยหลักการแล้วคือการลงทุนระยะยาวในทรัพย์สินที่จะมีมูลค่าเพิ่มในระยะยาว โดยที่เราต้องซื้อในราคาที่ถูกจนแทบไม่มีดาวน์ไซด์ ซึ่งถ้าท่านเป็นนักลงทุนอยู่แล้วก็อาจจะเข้าใจได้ไวและ สามารถเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือเล่มนี้ได้มากขึ้น สิ่งที่ดีของดันโดอินเวสเตอร์ก็คือจะมีตัวอย่างที่น่าสนใจให้ท่านได้อ่านและศึกษาจากหลายประเทศเช่น อินเดีย อเมริกา ตัวอย่างของครอบครัวที่สร้างความมั่งคั่งในเจเนเรชั่นเดียว เช่น มิตตาลกรุ๊ป ที่ทำเกี่ยวกับธุรกิจเหล็ก

เป็นหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดในการทำธุรกิจที่คุณตันได้เรียนรู้มาเล่าให้พวกเราฟังด้วยการสรุปออกมาเป็นเรื่องราวต่างๆที่มีผลทำให้การทำธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแทนที่จะล้มเหลว ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเงินหรือไม่มีเงินทุน แต่มันอยู่ที่ความสามารถประสบการณ์ที่คุณได้เรียนรู้และล้มเหลวมาก่อน จนสามารถประสบความสำเร็จได้ในที่สุด

เป็นหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดในการทำธุรกิจที่คุณตันได้เรียนรู้มาเล่าให้พวกเราฟังด้วยการสรุปออกมาเป็นเรื่องราวต่างๆที่มีผลทำให้การทำธุรกิจได้ประสบความสำเร็จแทนที่จะล้มเหลว ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่ามันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเงินหรือไม่มีเงินทุน แต่มันอยู่ที่ความสามารถประสบการณ์ที่คุณได้เรียนรู้และล้มเหลวมาก่อน จนสามารถประสบความสำเร็จได้ในที่สุด